คลิกที่นี่เพื่อสนทนา Facebook Logo

สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย หนุนพลังศิลปินไทย สู่สายตานานาชาติ สนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัยในรูปแบบที่เป็นอัตลักษณ์ศิลปิน สะท้อนปรัชญาตะวันออกและมรรคาแห่งวิถีพุทธ ผลงานศิลปะสร้างสรรค์สู่สาธารณชนในวงกว้าง ผ่านนิทรรศการศิลปะ “สายธารแห่งทัศนธาตุ” (Primordial Consciousness)

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2568 เวลา 17.30 น. นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ โดยมีนายเรวัต อารีรอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ผู้สนับสนุนสถานที่ในการจัดแสดงงานกล่าวต้อนรับ และนางอัญชลี วานิช เทพบุตร นายกสมาคมศิลป์ภูเก็ต ได้กล่าวถึงนิทรรศการนี้ ถือเป็นการอุ่นเครื่องสำหรับงานไทยแลนด์ เบียนนาเล่ ภูเก็ต 2025 ทั้งนี้นางเกษร กำเหนิดเพ็ชร รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยรักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย มอบหมายให้ นางสาวสุวิมล วิมลกาญจนา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายสัมพันธ์และแหล่งทุนเป็นผู้แทน พร้อมด้วยนางสาวศิริวัฒน์ แสนเสริม คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ร่วมลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตติดตามผลการสนับสนุนงบประมาณในการจัดนิทรรศการศิลปะ “สายธารแห่งทัศนธาตุ” (Primordial Consciousness) โดยเป็น 1 ใน 133 โครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในงานมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดภูเก็ตเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก อาทิ นายธเนศ ตันติพิริยะกิจ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม ประธานมูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน นายจรัล สร่างสาร รองประธานหอการค้าภูเก็ต

นิทรรศการศิลปะ “สายธารแห่งทัศนธาตุ” (Primordial Consciousness) ได้จัดแสดง ที่ MOHO Gallery, Cannaregio 883 เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ถึง 5 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา และนำมาให้รับชม ระหว่างวันที่ 7 – 21 มิถุนายน 2568 ณ TCDC จังหวัดภูเก็ต

“สายธารแห่งทัศนธาตุ” (Primordial Consciousness) เป็นนิทรรศการที่ว่าด้วยเรื่องราวของการบันทึกจิต เพื่อเดินทางสู่การรู้แจ้ง ผ่านการนำเสนอโดย 3 ศิลปิน: ภานุ สรวยสุวรรณ | พลุตม์ มารอด | และพลัง เพียงพิรุฬห์ (Artist Statement : Panu Suaysuwan | Palut Marod | Palang Palamart) “จิตเดิมแท้นั้น บริสุทธิ์ ไร้ขอบเขต ไม่มีร่องรอยของการเกิด ไม่มีการดับสลาย ไม่มีการ เปลี่ยนแปลง อวิชชา เป็นเงามืดที่ค่อยๆ ปกคลุมจิตใจมนุษย์ไว้ ทำให้เราหลงลืมความจริงอันลึกซึ้ง ของชีวิต เราติดอยู่ในกรงขังของร่างกายและความคิด มองโลกผ่านความคิดอันคับแคบของตัวตน คล้ายกับนกน้อยในกรงขัง ที่มีพลังแห่งการรับรู้ แต่ถูกกั้นไว้ด้วย กำแพงแห่งความหลง ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป เมื่อจิตผู้รู้ ปลดปล่อยตนเองจากการยึดมั่นในสังขาร สละทิ้งการปรุงแต่งแห่งตัวตน เผยจิตเดิมแท้ ธรรมชาติทั้งปวงจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง ไร้ขอบเขต ไร้การแบ่งแยก ความสงบที่แท้จริงจะปรากฏขึ้น จากความยึดมั่นสู่การปล่อยวาง ปลดเปลื้องความทุกข์สู่อิสระอย่างแท้จริง”

แชร์